เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี วิจารณ์หนัง ข่าวล่าสุด วิจารณ์หนัง

เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี

เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี และนี่คือหนึ่งในหนังเล็ก ๆ ที่กระแสโดดเด่นเรื่องหนึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เพราะมันคือหนังสไตล์ Coming-of-Age ที่ดัดแปลงสร้างมาจากวรรณกรรมขายดี ที่สอดแทรกประเด็นการเติบโตของวัยเยาว์ได้อย่างน่ารัก นี่ก็คือ “Are You There God? It’s Me, Margeret วันนั้น..ของมาร์กาเร็ต” ที่จะมาทำให้คุณต้องเผลอยิ้มให้กับน้อง และอิ่มอกอิ่มใจไปกับการเรียนรู้ที่จะก้าวสู่อีกวัยของเด็กยุคก่อน

Contents

เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี และพอเห็นชื่อผู้กำกับ..ก็ต้องร้องอ๋อทันที เพราะนี่คืองานแนวถนัดของเธอเลยก็ว่าได้

เธอคือ “เคลลี่ เฟรมอน เคร็ก” ที่เราน่าจะคุ้นเคยผลงานก่อนหน้านี้ของเธอเป็นอย่างดีใน The Edge of Seventeen ก็ถือว่าเป็ฯหนังเรียนรู้ที่จะเติบโตของวัยเด็กวัยรุ่นเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้มีจังหวะการเล่าที่หยิบเอาประเด็นในยุคสมัย ที่มีฉากหลังเป็นในช่วงปี 1970s กับเรื่องของศาสนาเข้ามาเป็นพล็อตรอง ที่ถือว่าประเด็นของหนังแข็งแรงดีทั้งคู่เลย เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี

หนังดัดแปลงมาจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ “จูดี้ บลัม” ที่เจ้าของงานประพันธ์ก็ได้มารับหน้าที่ร่วมเขียนบทหนังให้เองด้วย ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ไปด้วยกับผู้กำกับหญิงคนเก่งนั่นเอง จึงทำให้อรรถรสของ Are You There God? It’s Me, Margaret ออกมาได้เหมาะเจาะ เหมาะเหม็ง และน่ารักน่าเอ็นดูในหลาย ๆ อณูที่หนังได้เลือกนำเสนอออกมา เป็นหนังที่เล่าช่วงชีวิตที่ทุก ๆ คนจะต้องผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมากันทั้งสิ้น

[รีวิวซีรีส์] The Days วันวิบัติ – บันทึกหน้าประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี

“นิวเคลียร์” คือขุมพลังมหาศาลที่มีทั้งประโยชน์และโทษ โลกของเราได้รับรู้ผลลัพธ์ของการนำพลังงานทรงพลังอย่างนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นก็คือเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิเมื่อปี 2011 โศกนาฏกรรมครั้งนั้นกินเวลายาวนานกว่า 7 วัน และเรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมจริงผ่านซีรีส์ ‘The Days – วันวิบัติ’

‘The Days – วันวิบัติ’ เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นความยาว 8 ตอน สามารถรับชมได้ทาง

ได้ มาซากิ นิชิอุระ (Masaki Nishiura) และฮิเดโอะ นาคาตะ (Hideo Nakata) นั่งแท่นผู้กำกับ นอกจากนี้ยังรวมนักแสดงมากฝีมือของญี่ปุ่นเอาไว้คับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น โคจิ ยาคุโช (Koji Yakusho), ยูทากะ ทาเคโนะอุจิ (Yutaka Takenouchi), ฟูมิโยะ โคฮินาตะ (Fumiyo Kohinata) และ คาโอรุ โคบายาชิ (Kaoru Kobayashi)

เรื่องย่อ: ‘The Days’ หรือ ‘วันวิบัติ’ เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงของเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงระดับ 9.0 ริกเตอร์บริเวณนอกชายฝั่ง ส่งผลให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา สิ่งที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดคือคลื่นยักษ์สึนามิที่ถาโถมข้ามผ่านแนวกั้นคลื่นเข้าสู่บริเวณโรงไฟฟ้า จนก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

การจ่ายไฟและระบบหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์ฟุกุชิมะไดอิจิหยุดทำงาน กลายเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ตามมา เป็นหน้าที่ของผู้จัดการโรงไฟฟ้า ทีมช่างเทคนิค ผู้บริหารบริษัท ผู้เชี่ยวชาญ และนักการเมืองผู้มีอำนาจของภาครัฐ ต้องร่วมมือกันยับยั้งวิกฤติครั้งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่จะทำอย่างไรเมื่อพวกเขามีข้อจำกัดทั้งด้านการสื่อสาร ข้อมูล และแนวทางการรับมือ!?

เด็กใหม่ แนนโน๊ะ ซี รี่ ย์ อีกเรื่องหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จจากซีซั่นที่แล้วมา

เป็นเรื่องราวของลูกสาวซาตาน ชื่อ “แนนโน๊ะ” เธอเข้าไปเป็นเด็กใหม่ในทุก ๆ โรงเรียน เพื่อตีแผ่สนองเวรกรรมที่เด็กวัยรุ่นหรือเรื่องราวภายในโรงเรียนที่กำลังเผชิญ ปัญหาวัยรุ่นที่เป็นเหมือนก้อนก่อตัวของปัญหาสังคมที่ถูกปลูกฝังโดยผู้ใหญ่ ร่วมทำให้มันเกิด นับเป็นซี รี่ ย์ Netflix ของไทยที่มีความแปลกแหวกแนว และมีความน่าสนใจอย่างยิ่งในการนำเสนอเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา กับการวิเคราะห์วิจารณ์สังคมที่เราทุกคนต่างรับรู้ ต่างเห็นว่ามี แต่เราก็ปล่อยมันผ่านไป เราทนกับมันทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ผิด และตีแผ่ สันดานดิบของความเป็นมนุษย์ และการตัดสินใจของเด็กที่ต้องมีเด็กใหม่อย่างแนนโน๊ะไป สนองเวรกรรมคืน รวมกับการสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ซี รี่ ย์ Netflix เรื่องนี้ กล้านำเสนอในสิ่งที่ซีรีส์อื่นไม่ค่อยกล้าทำนัก เช่นการนำเสนอเรื่องเพศ การใช้คำพูดที่รุนแรง การกระทำที่รุนแรงที่ส่งผลต่ออารมณ์ และจิตใจของคนดูอย่างชัดเจน แล้วมันตรงกับใจคนดู

ซึ่งเนื้อหาหลายตอนนั้น มันก็คือภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ด้วยแนนโน๊ะนั้นเป็นอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ ๆ ถ้าให้ลงความเห็นที่ทางทีมผู้สร้างก็ยังไม่ได้เฉลย หลาย ๆ เว็บรีวิวหนังลงความเห็นว่าแนนโน๊ะมีความใกล้เคียงกับซาตานมากที่สุด เพราะพฤติกรรมของเธอนั้นชอบทดสอบมนุษย์ โดยเฉพาะการทดสอบในด้านจิตใจ ชอบค้นหาด้านมืดของมนุษย์ และก็ล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป ทั้ง ๆ ที่มนุษย์คนนั้นก็พยายามข่มเอาไว้แล้ว แต่แนนโน๊ะก็จะไปขุดขึ้นมาจนได้ แนนโน๊ะไม่ได้ทำร้ายหรือทำลายใครด้วยน้ำมือของเธอเลย ผู้คนต่าง ๆ ที่เธอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ล้วนแต่ทำร้าย ทำลายตัวเองทั้งนั้น โดยมีเธอเป็นตัวยั่วยุให้เกิดการกระทำจากสันดารดิบภายใยของตัวเอง และทำลายตัวเองด้วยน้ำมือและสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของตัวเองทั้งสิ้น และตัวเธอที่สามารถเกิดใหม่ได้ตลอด ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย เอาไปฝังดินก็แล้ว ตกจากตึกสูงก็แล้ว ก็ยังไม่ตาย ย้ายโรงเรียนทุกตอน

ถ้ากดเข้ามาดูแล้วได้มีโอกาสมาอ่านตรงนี้ก่อน จะแนะนำว่า ไม่ต้องเปิดดูเทลเลอร์ แต่ให้เข้าไปดูแบบไม่รู้อะไรเลยดีกว่า…….. รีวิวก็ไม่ต้องอ่าน อ่านแค่พารากราฟแรกพอ

ในฐานะที่ไปดูรอบสื่อมา ก็จะมาเล่าสักเล็กน้อย จะได้ไม่หาว่ามาหลอกให้ไปดู ถ้าคาดหวังว่าจะได้เข้าไปดูหนังแบบ ตื่นเต้นผจญภัย สนุกสุดมัน หฤโหด โหมด Si-Fi มันไม่ได้เป็นแบบนั้น หนังดำเนินไปแบบเรียบ ๆ ตั้งกล้องนิ่ง ๆ เนื้อเรื่องพื้น ๆ แต่ไอพื้น ๆ ของเขามันคือ สำรวจถ้ำไงคุณ !

บทหนังเป็นแบบตามที่เขาบอกในเรื่องย่อแหละ ก็คือเหตุการณ์ ๆ

นึง แล้วเราก็เข้าไปดูเหตุการณ์นั้นเฉย ๆ สร้างจากเรื่องจริง บอกแค่นี้พอ ส่วนเขาดำเนินเรื่องยังไง มีอะไรในหนัง มีอะไรซ่อนในถ้ำตอนจบ ต้องไปดูเอง เพราะประเภทนี้มันแทบไม่มีอะไรอยู่แล้วถ้าบอกอะไรมากก็ดูไม่สนุกเลย เข้าไปดูแล้วให้หนังมันพาไปเองดีกว่า เพราะหนังไม่ได้ออกแบบมาให้มันมีดราม่าอะไรที่จะให้เราเข้าไปสนุกสนานกับมัน แต่เป็นเรื่องของสุนทรียภาพมากกว่า การดูหนังเรื่องนี้คือการเข้าไปเสพบรรยากาศ เหมือนเสพงานศิลปะ ที่แสดงออกมาผ่านเหตุการณ์ ๆ หนึ่ง

เข้าไปดูฟุตเทจคนสำรวจถ้ำแคบ ๆ ที่น่าอึดอัด แต่ดูไปดูมากลับรู้สึกโล่งโปร่งสบายไปด้วยในเวลาเดียวกัน

ส่วนตัวคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องของงานภาพ คือทุก ๆ ชอตในหนัง ถ้าแคปออกมา แล้วเอามาวาง แล้วดราฟออกมา จะด้วยสีน้ำมัน หรือ สีน้ำ หรือดินสอ เราจะได้ภาพวาดศิลปะดี ๆ ออกมาทันที 1 ชิ้น ภาพแต่ละชอตในนั้นมันคืองานศิลปะภาพเขียนทิวทัศน์อะไรสักอย่าง บางอันก็เป็นภาพแนว ซิมโบลิค ที่มีความหมายซ่อนเร้นสวย ๆ พูดง่าย ๆ คืองานถ่ายระดับอาจารย์ฟิล์มตั้งกล้องเองนั่นแหละ ชอต 95% ในหนังคืองานศิลป์อันยอดเยี่ยม มันเลยทำให้ ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาดูฉากในถ้ำ (หลายชอตก็อึดอัด แต่คิดว่าเขาตั้งใจ)

การดำเนินเรื่องที่เป็นไปอย่างเนิบ ๆ ถามว่าง่วงไหม ก็ง่วงนิดนึง แต่ไม่หลับนะ เอาจริง ๆ จะลุกไปเข้าห้องน้ำยังไม่อยากไปเลย รู้สึกว่ากลัวพลาดชอตอะไรไป เพราะหนังดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างที่บอกว่าหนังประเภทนี้มันแทบไม่มีอะไร แต่พอมันมีขึ้นมาปุ๊บ เราก็ไม่อยากพลาด แล้วคือมันมีแอบ ๆ ไว้ตลอด พวกซิมโบลิค พวกอิมโมชั่น แม้กระทั่งความปราณีตในการสร้าง เช่น อาศัยธรรมชาติช่วยเซ็ทอัพฉาก ที่มันก็ไม่เคยจะได้ดั่งใจคนทำหนังสักที แต่เขาก็เอาธรรมชาติมาใช้จนได้ แล้วมันเกิดเป็นงานศิลปะที่ดีขึ้นมาจริง ๆ สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เรารู้สึกไปกับมันได้ ได้ดูแล้วอาจจะเอามาใช้เป็นไอเดีย หรือเปิดโลกให้ชีวิตเราได้ ส่วนเรื่องเสียงก็ อัดออกมาซาวด์ดีมาก แต่คิดว่าน่าจะมาอัดโฟเล่ (สร้างเสียงทับไปใหม่) ซ้อน ๆ ไปด้วย ทำให้บรรยากาศในการรับชมภาพมันอิมแพคขึ้น

หนัง The Tank หรือชื่อไทยว่า ท่อสยองพันธุ์ขย้ำ เบน ละครอบครัวเปิดร้านขายสัตว์เลี้ยง แต่โชคชะตาของครอบครัวนี้ต้องพลิกผันไป เมื่อได้รับมรดกเป็นบ้านริมชายทะเลในโอเรก้อน ก่อนที่ทั้งครอบครัวจะไปเยือนบ้านที่ถูกทิ้งร้างมานานหลังนี้ แต่ทว่าการท่องเที่ยวแสนสุขในครั้งนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ เบ็น ได้ไปเปิดประตูของแทงค์นํ้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่แสนจะอันตราย

การดิ้นทุรนทุรายอันสุดแสนจะทรมาณ ความพยายามตะเกียกตะกาย ไขว่คว้าหาหนทางที่จะไปถึงจุดหมายอย่างยากเย็นแสนเข็ญบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามที่ขวางกั้น ทั้งหมดนี่ไม่ได้หมายถึงตัวละครที่ต้องเอาชีวิตรอดนะ แต่หมายถึงหนังเรื่องนี้นี่แหละ

ถ้าจะดูสนุกเอาเพลิน ๆ ก็……ไม่ได้อะ หลับ หลับเลย ตัวหนังแทบไม่มีอะไรให้เรารู้สึกไปกับมันในแทบทุกมิติ อะไร ๆ ในหนังมันดู Wanna be แบบสุด ๆ ตั้งแต่เปิดเรื่อง จนมาถึงบ้านที่โอเรก้อน ยันขับรถออกไป หนังมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ตอนจบผมนี่แบบ “ห๊ะ ? ” ถ้าจะสรุปเนื้อเรื่องก็คือ ตัวละครได้บ้านเป็นมรดก เลยกลับไปที่บ้าน แล้วเจอแทงค์น้ำเก่า แล้วมีสัตว์ประหลาดขึ้นมาจากแทงค์น้ำ แค่นั้นเลย ไม่มีได้มีกิมมิคอะไรที่ โอ้โห สุด !!! ไม่มี ๆ ดูจบแล้วรู้สึก งงว่า ทำหนังเรื่องนี้มาทำไม คือถ้าสมมตินะ ตอนจบแม่งเฉลยเป็นเรื่องทั้งหมดคือคนใส่ชุดสัตว์ประหลาดแล้วมาหลอกไล่ที่หรือให้ขายที่ในราคาถูก ผมนี่ยืนปรบมือเลย แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นไง 555 บ้านผลบอล

ถ้าเทียบกับหนังสัตว์ประหลาดที่คล้าย ๆ กันอย่าง “A Quiet Place” ที่มีกิมมิคอย่างการห้ามส่งเสียง มันทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่อง มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครอย่างมากแล้วเพิ่มความสนุกน่าติดตาม ได้อินว่า เออถ้าต้องเข้าไปอยู่ในโลกแบบนั้นมันจะเป็นยังไง และภาพจำของหนังแบบนี่คือหนังเรื่องนี่ แต่กับ The tank ไม่มีอะไรแบบนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปดูโรง เราไปดูหอแต๋วแตกเพราะบางทีมันอาจจะตลกบ้างไม่ตลกบ้าง เราก็ยังได้ดูศิลปิน ดารา ตลกที่เราชื่นชอบ สมมตินะ….. แต่กับ The tank มันไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องไปดูเลยนอกจากโดนหลอกว่า โหมันดีมาก ๆ 555 แต่ความจริงคือ กลวงจัด เหมือนหนังทำส่งอาจารย์มัธยมยังไงอย่างงั้นเลย เนื้อเรื่องนี่เอาจริง ๆ หลับไป 3 ตื่นแล้วขึ้นมาดูก็แทบไม่ได้มีผลอะไรเท่าไหร่ เอางี้ หลับไปทั้งเรื่องเลยแล้วตื่นมาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินดีกว่า ส่วนตัวผมนั้นโชคดีที่ดูเรื่องนี้กับโปรของเมเจอร์ ดูหนัง 39 บาท ป๊อปคอน 39 บาท เลยจัดรสชีสกับรสหวานมาทาน ขอแนะนำว่าเอารสชีสกับรสหวานมาทานพร้อมอันในปากครับ จะได้รสชาติที่กลมกล่อมมาก ๆ