ดูหนัง แสง กระสือ 2

ดูหนัง แสง กระสือ 2

ดูหนัง แสง กระสือ 2

ดูหนัง แสง กระสือ 2 โดยเรื่องย่อของ แสงกระสือ 2 นั้นจะเล่าถึงเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์ระหว่าง “คน” และ “กระสือ” กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง หลังโศกนาฏกรรม “กระสือสายบ้านโคกอีนวล” ผ่านไป 30 ปี “น้อย” (แสดงโดย น้อย-กฤษดา แคลปป์) เลี้ยงดู “สาว” (นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์) ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือ ทำให้ น้อยและ “บาทหลวงออกัสติน” (โจ คัมมินส์) ร่วมคิดค้นตัวยาที่สกัดจาก “ว่านกระสือ” เพื่อใช้ในการรักษา สาวได้พบกับ “คล้าว” หรือ “คลาว” โดยบังเอิญ (เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) บุตรบุญธรรมของบาทหลวงออกัสติน ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแต่กำเนิด ความรักของสาวและคล้าวค่อย ๆ ผลิบานพอ ๆ กับเชื้อร้ายในตัวของสาวที่เริ่มออกอาการมากขึ้นทุกวัน นักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการตัว “กระสือสาว” “พันธุ์” (ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) อดีตทหารรับจ้างจึงถูกจ้างมาเพื่อ “ไล่ล่า” สาวจะรอดพ้นเงื้อมมือของพันธุ์ได้หรือไม่ ร่วมเอาใจช่วยเขาและเธอไปพร้อมกันเกิดอะไรขึ้น ? ค่ายหนังประกาศเลื่อนฉายหนัง “แสงกระสือ 2” แบบไม่มีกำหนดแสงกระสือ 2 หนัง ภาคต่อ แสงกระสือ นิ้ง ชัญญา เจเจ กฤษณภูมิ แสดง

บอกเลยว่าในภาคนี้ตัวหนัง แสงกระสือ 2 เนี้ยค่อนข้างจะแตกต่างไปจากภาคแรกเยอะมาก #แสงกระสือ2 ทั้งเรื่องของการเดินเรื่องหรือบทต่างๆของหนังครับ ตัวหนังพยายามทำให้เราอินกับเรื่องของความรักแบบสุดๆ แต่กลับไม่ค่อยได้ผลเท่าไรครับ เป็นเพราะการเดินเรื่องของหนังที่ค่อนข้างจะเอื่อยและมีฉากที่ไม่จำเป็นเยอะไปหน่อย ตรงเลยเลยทำให้คนดูรู้สึกเอียนและไม่อินไปบ้างครับ และอีกอย่างเราก็คงอยากรู้ที่มาที่ไปของกระสือ หรือแม้กระทั่งตัวละครของ เจเจ แต่ในหนังกลับไม่ได้เผยสิ่งต่างๆให้เรารู้มากขึ้นเลย รู้เท่าเดิมคือ กระหังต้องกินหัวใจกระสือ เพื่อมีชีวิตต่อแค่นั้นเองครับ

ส่วนของเจเจนั้นตัวหนังไม่ได้บอกอะไรเราเลย อาจจะบอกแค่ว่ามีพลังวิเศษแค่นั้นครับ และอีกสิ่งที่เพิ่มมาในภาคนี้นั้นก็คือเสียงกรีดร้องครับ คือกรีดร้องกันทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวก็ถือว่าพอรับได้ครับ ไม่ได้ดีและก็ไม่ได้แย่ ถ้าดูเอาสนุกก็คือตอบโจทย์ที่สุดครับ กับ แสงกระสือ 2

และสิ่งที่ชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นด้านนักแสดงครับ พี่น้อย ก็คือแบกสุดๆ พี่แกเล่นกับคาแรคเตอร์ได้โคตรดีเลยครับ ยิ่งมาเจอแกที่เล่นในบทที่ดราม่าหนักๆแบบนี้ คือเฉียบมากครับ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ดีครับ แต่ส่วนตัวชอบพี่น้อยที่สุดในหนังเรื่องนี้ และอีกสิ่งที่ยังคงทำได้ดีในหนังนั้นก็คือมุมกล้องและบรรยากาศของหนังครับ ตรงนี้คือทำออกมาได้ดีมาก มุมกล้องสวยมาพร้อมกับบรรยากาศชวนหลอนแบบสุดๆ

แสงกระสือ 2 หนังภาคต่อของโศกนาฏกรรมความรักครั้งใหม่

ที่โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีพอสมควร แต่ก็มีส่วนที่ไม่ดีเช่นกัน ตัวหนังมีวัตถุดิบที่ดีแต่ดันเกลี่ยได้ไม่สุดเท่าที่ควร ตัวบทและการเดินเรื่องชวนให้เอื่อย และมุ่งเน้นไปที่ความรักจนเกินไป จนทำให้คนดูนั้นไม่อิน แต่นักแสดงคือที่สุด ทุกคนเล่นดี แต่พี่น้อยคือ MVP ของหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง คะแนน 7/10

นอกจากนั้น แสงกระสือ 2 ยังได้ทีมนักแสดงระดับคุณภาพเกินกว่าคุณภาพของหนังโดยแท้ นักแสดงทุกคนต่างถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้ดีทุกคน แต่ในเมื่อบทหนังและการเล่าเรื่องที่ไม่ส่งเสริมกันและกัน ทำให้องค์ประกอบการแสดงก็ไม่สามารถช่วยพยุงตัวหนังเอาไว้ “เจเจ กฤษณภูมิ” กับ “นิ้ง ชัญญา” แสดงดีแต่กลับยังไม่โดดเด่นที่สุดแบบที่ควรจะเป็น

ในขณะที่ “น้อย กฤษดา” กับ “ปีเตอร์ นพชัย” เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงชายตัวท็อปที่ใคร ๆ ก็นึกภาพออก แต่การมาของพวกเขาในหนังเรื่องนี้กลับถูกบดบังราศีตามความไม่สมเหตุสมผลของหนัง ส่วนอีกหนึ่งหนุ่ม “เอม ภูมิภัทร” คนนี้คือรุ่นใหม่ที่มาแรงสุด ๆ เขายังคงมอบการแสดงที่ไม่ผิดหวัง เพียงแต่การมาอยู่ของเขาในหนังเรื่องนี้ออกจะผิดที่ผิดทาง และหนังทำให้เขาดูกลืนไปกับจอเลย

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว คงจะต้องบอกว่า แสงกระสือ 2 เป็นหนังภาคต่อที่ไม่จำเป็นจะต้องมีภาคต่อก็ได้ เพราะต้นฉบับก็ทำเอาไว้ค่อนข้างดีมาก เมื่อนำมาต่อเติมเสริมแต่งอีกในครั้งนี้ หลาย ๆ องค์ประกอบยังไม่สามารถฝ่าด่านไปได้ถึง โดยเฉพาะการเล่าเรื่องและขุดแก่นสารของหนังที่ยังค่อนข้างไร้น้ำหนักไปเสียหน่อย ปล่อยให้ผู้ชมนั่งดูอะไรที่แทบจะไม่ได้นับคำอธิบายที่จริงจัง ทิ้งเอาไว้ให้เต็มไปด้วยคำถามเยอะไปหมด ซ้ำแล้วบทสรุปยังทิ้งเอาไว้ด้วยความไม่เคลียร์ใด ๆ เลย

ในหนังภาคแรก ‘แสงกระสือ’ ว่าด้วยเรื่อง ‘รักต้องห้าม’เนรมิตรหนัง ฟิล์ม’ เสิร์ฟตัวอย่างเต็ม ‘แสงกระสือ 2’ ก่อนฉายจริง 30 มีนาคมนี้ตัวอย่างเต็ม "แสงกระสือ 2" ชิมลางความสยองก่อนฉายจริง 30 มี.ค.66

ระหว่างคนกับกระสือ เมื่อ น้อย ไปล่วงรู้ความลับของ สาย ว่าเธอเป็นกระสือ แต่ก็ปกปิดไว้เพราะความรัก และช่วยเธอเอาตัวรอดจากกลุ่มนักล่ากระสือที่จ้องจะเอาชีวิตสาย พอมาถึง ‘แสงกระสือ 2’ ซึ่งฉายห่างจากภาคแรกถึงสี่ปี น้อยหนีออกมาจากหมู่บ้านเดิม ก่อนจะเติบโตและพบรักครั้งใหม่ ซึ่งเขาต้องดูแลลูกสาวที่ติด ‘พิษกระสือ’ จากตัวเอง
หลังรับชม ‘แสงกระสือ 2’ จบ เราถึงประมวลได้ว่า จริงๆ แล้ว ทั้งสองภาคนี้มีการเล่าเรื่อง เซตติ้ง และคอนเซปต์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีแค่การจับเอาตัวละครเก่าอย่าง น้อย มาต่อยอดเท่านั้น ซึ่งแนวทางการพัฒนามาเป็นภาพยนตร์ภาคสองนี้ มีทั้งสิ่งที่ผู้เขียนชอบและไม่ชอบ จากบทหนัง, พลังทางการแสดง ไปจนถึงเทคนิคพิเศษด้านภาพ

เราเดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกปะปนหลายอย่าง หลังจากรับชม ‘แสงกระสือ 2’ เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ตีกันในหัว แต่ก่อนจะไปไล่เรียงความรู้สึกใดๆ นั้น เราอยากใช้พื้นที่ช่วงต้น ทบทวนเรื่องราวของ ‘แสงกระสือ’ ภาคแรกกันสักเล็กน้อย เนื่องจากมีตัวละครที่เชื่อมโยงทั้งสองภาคเข้าด้วยกัน นั่นคือ น้อย หนุ่มคนรักของกระสือสาว และยังคงมีบทบาทสำคัญในภาคสองนี้ แม้จะเปลี่ยนนักแสดงไปก็ตาม

โดยในภาคแรก หนังว่าด้วยเรื่อง ‘รักต้องห้าม’ ระหว่างคนกับกระสือ เมื่อ น้อย (โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์) ไปล่วงรู้ความลับของ สาย (มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร) ว่าเธอเป็นกระสือ แต่ก็ปกปิดไว้เพราะความรัก และช่วยเธอเอาตัวรอดจากกลุ่มนักล่ากระสือที่จ้องจะเอาชีวิตสาย โดยกลุ่มนักล่าดังกล่าว มี เจิด (เกรท-สพล อัศวมั่นคง) หนุ่มที่มั่นคงรักสายข้างเดียวมาเนิ่นนาน ที่เข้าร่วมกลุ่มโดยไม่รู้ว่าสายเป็นกระสือ

หรือจะเป็นประเด็นของตัวละครคลาวที่นอกจากจะเป็นโรคผิวเผือกแล้ว ตัวเขายังมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงที่มาที่ไปของความลับดังกล่าวอย่างชัดเจนนัก รวมถึงในระหว่างทาง ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้วางคำใบ้ให้เราได้คาดเดาความเป็นมาของความลับดังกล่าวอีกด้วย มันจึงส่งผลให้ในช่วงบทสรุปของเรื่อง ภาพยนตร์กลับไม่สามารถทำให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างที่ควรจะเป็น

รวมถึงเส้นเรื่องของตัวร้ายหลักที่นำแสดงโดย ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม แสง กระสือ 2 ที่เรายังแอบสงสัยกับภูมิหลังของตัวละครอยู่พอสมควร และแม้ว่าตัวภาพยนตร์จะพยายามผูกปมปัญหาที่ขับเคลื่อนให้ตัวละครดำเนินไปข้างหน้า แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบปมปัญหาดังกล่าวมาใช้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ตัวละครตัวนี้ดูไม่มีมิติเท่าไรนัก

ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่กลับบาลานซ์เรื่องราวไม่ค่อยลงตัวนัก แอบมีความครึ่งๆ กลางๆ อยู่ประมาณหนึ่ง มันจึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันหรืออยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น

ขณะเดียวกัน หนึ่งในจุดเด่นสำคัญที่คอยช่วยตรึงให้เราอยู่กับภาพยนตร์ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง คือการแสดงของทีมนักแสดงนำทุกคน โดยเฉพาะ น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในบทบาทของ น้อย ซึ่งได้รับการต่อยอดมาจากภาคแรก ที่ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้อย่างลึกซึ้ง กับบทของพ่อผู้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาลูกสาวของตัวเอง ควบคู่ไปกับการปกป้องลูกสาวจากภัยอันตรายต่างๆ และการต้อง ‘อดทน’ กับการเห็นลูกสาวต้องกลายร่างเป็นกระสือในทุกค่ำคืน

อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบ คือการตีความต้นกำเนิดของกระสือที่แตกต่างไปจากตำนานกระสือฉบับอื่นๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและทีมสร้างได้จินตนาการเรื่องราวได้อย่างสดใหม่และน่าสนใจ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างสามารถสานต่อเรื่องราวไปได้อย่างกว้างขวางในอนาคต

ในภาพรวมแล้ว ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบ แสงกระสือ ภาคแรกมากกว่า แสงกระสือ 2 พอสมควร ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์มีหลายประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แต่ภาพยนตร์กลับพาเราเข้าไปสำรวจประเด็นเหล่านั้นเพียงผิวเผินเท่านั้น จนส่งผลให้เราไม่มีความรู้สึกร่วมกับประเด็นเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่ แสงกระสือ ภาคแรก แม้จะมีข้อสังเกตให้กล่าวถึงอยู่บ้าง แต่หากมองในภาพรวมเรากลับรู้สึกว่าตัวภาพยนตร์มีกลวิธีนำเสนอที่กลมกล่อม และชวนให้เราอยากเอาใจช่วยตัวละครภายในเรื่องมากกว่า

thinng