เว็บหนังออนไลน์ hd รวมข่าวบันเทิงฮอตล่าสุด ที่เกี่ยวข้องกับ “หนังใหม่

เว็บหนังออนไลน์ hd

เว็บหนังออนไลน์ hd หนัง The Black Phone หรือชื่อไทยว่า สายหลอน แอบซ่อนวิญญาณ ผู้กำกับสก็อต เดอร์ริคสัน หวนกลับสู่รากความสยดสยองของเขาอีกรอบ เพื่อร่วมมือกับบลัมเฮาส์ แบรนด์ดังของภาพยนตร์แนวนี้ ในทริลเลอร์สยองขวัญเรื่องใหม่ ฟินนีย์ ชอว์ เด็กผู้ชายเขินอายแต่ว่าฉลาดวัย 13 ขวบ ถูกคนร้ายซาดิสต์ลักพาตัวไปขังอยู่ด้านในห้องใต้ดินเก็บเสียง ที่ซึ่งผู้กระทำรีดร้องไม่เกิดผลดีอะไรก็ตามตอนที่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณที่ติดอยู่ตรงฝาผนังเริ่มแผดเสียงดังขึ้นมา ฟินนีย์ก็ศึกษาค้นพบว่าเขาสามารถได้ยินเสียงของเหยื่อคนก่อนๆของคนร้ายรายนี้ และก็เหยื่อพวกนั้นก็ตั้งประณิธานเอาไว้ว่าจะมีผลให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กับพวกเขาจึงควรไม่เกิดขึ้นกับฟินนีย์ อีธาน ฮอว์ค ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สี่สสมัย แสดงนำในบทที่น่าสยองที่สุดในอาชีพดาราหนังของเขา รวมทั้งเสนอแนะเมสัน เธมส์ ในผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา The Black Phone อำนวยการสร้าง ควบคุมและก็ร่วมเขียนบทโดยสก็อต เดอร์ริคสัน มือเขียนบทแล้วก็ผู้กำกับจาก Sinister, The Exorcism of Emily Rose แล้วก็ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Doctor Strange บทภาพยนตร์เขียนโดยเดอร์ริคสันรวมทั้งซี. โรเบิร์ต คาร์กิล (Doctor Strange แล้วก็แฟรนไชส์ Sinister) จากเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลโดยโจ ฮิลจากผลงานนิวยอร์ก ไทม์ เบสต์เซลเลอร์เรื่อง 20th Century Ghosts ของเขา ภาพยนตร์หัวข้อนี้อำนวยการสร้างโดยครุ้กเค็ด ไฮเวย์ของเดอร์ริคสันและก็คาร์กิลและก็ได้รับการนำเสนอโดยยูนิเวอร์แซลแล้วก็บลัมเฮาส์ โดยมีเจสัน บลัม, สก็อต เดอร์ริคสันและก็ซี. โรเบิร์ต คาร์กิล รับหน้าที่ผู้อำนวยการผลิตของภาพยนตร์ประเด็นนี้ ภายใต้อำนาจบังคับงานสร้างโดยไรอัน ทูเร็คแล้วก็คริสโตเฟอร์ เอช. วอร์เนอร์

เว็บหนังออนไลน์ hd ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเหตุผลอะไรกันแน่ ที่ทำให้ The Black Phone – สายหลอน หลบซ่อนวิญญาณ

ดีเลย์แล้วก็เข้าฉายในบ้านพวกเราช้ามากมายๆตัวหนังสร้างขึ้นจากหนังสือเรื่องสั้นที่เขียนโดย Joe Hill ลูกชายของ Stephen King มันถูกปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงมาเป็นบทหนังรวมทั้งควบคุมโดย Scott Derrickson ที่เคยฝากผลงานอย่าง The Exorcism of Emily Rose (2005),   ซึ่งตัวหนังก็ออกมาดูดีกว่าที่คิดจำนวนมากเป็นหนังทุนต่ำ (ทุนราวๆ 16-18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ประดิษฐ์และก็มองบันเทิงใจจริงๆ

The Black Phone เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวในตอนสมัย 70s เป็นสมัยที่มีคดีการลักพาตัวเด็กมากมายก่ายกองทั่วอเมริกา กระทั่งมีคดีของจอมผลักหรือ The Grabber (Ethan Hawke) เกิดขึ้น เด็กถูกลักพาตัวไปและไม่ได้มองเห็นหน้าบิดามารดาอีก แต่ว่ามีอยู่รายหนึ่ง Finney (Mason Thames) เด็กคนนี้ไม่เป็นอย่างที่มันคิด เนื่องจากว่าเด็กคนนี้ได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจากเหล่าวิญญาณเด็กๆคนอื่นที่โดนจอมผลักฆ่าไป!

หนังมีกลิ่นความเป็น Stephen King ไม่น้อยนะ แถมระยะแรกยังเนือยๆดูนกดูไม้ไปบ่อยกว่าจะเข้าเรื่องเช่นเดียวกันอีก เนื่องจากว่าหลายฉากหลายชนิดมันก็ไม่มีความสำคัญสักเท่าไหร่ ถ้าหากไม่มีก็มิได้ให้เรื่องราวเปลี่ยนไปเลย

ชวนมองความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ผสมหนังแนวตื่นเต้น หนังเฉือน เว็บหนังออนไลน์ hd

หนังเอาชีวิตรอดในห้องปิดตาย และก็ความสยองขวัญได้อย่างพอดี มีความเชิญอึดอัด มีจังหวะให้ลุ้น ให้ตื่นเต้น อยู่เป็นช่วงๆส่วนทางด้านความสยดสยองคนไหนกันที่แบบกลัวผีก็มองได้ เนื่องจากมันไม่ใช่หนังผีจ้ะขนาดนั้น มีจังหวะ Jump Scare มีผีก็จริง แม้กระนั้นมันก็มิได้น่าสยองขนาดนั้นหรอก (มั้ง) แม้กระนั้นรูปร่างแต่ละอย่างมันมิได้มากมายมารวมกันแล้วมันเป็นหนังที่บันเทิงใจเลยล่ะ รวมทั้งจำต้องยกย่องพวกเสียงแล้วก็ดนตรีประกอบที่สร้างความระทึก สร้างอารมณ์ร่วมให้กับหนังไม่น้อยเลย เว็บหนังออนไลน์ hd

แม้กระนั้นแม้กระนั้นบทมันก็ค่อนจะปกติ มิได้มีจุดกลับ จุดหัก การเอาชีวิตรอดของเด็กน้อยก็ดูก่อนบสดชื่นเหลือเกินเสียหน่อย ราวกับว่าเวลากำลังหาทางหนีมันไม่มีจังหวะให้จอมผลักโผล่มาแล้วแบบ “เห้ย ทำอะไรของมึงอยู่น่ะ” เพียงพอมาถึงตอนสุดท้ายมันก็เลยมองง่ายไปสักนิด แต่ว่าก็เป็นตอนจบที่จัดว่าโก้เก๋และก็มันก็มีเหตุผลกับการปูเรื่องเนือยๆทีแรกๆล่ะ

อีกจุดน่าสังเกตเป็นหนังเสมือนจะลืมให้น้ำหนักและก็เหตุผลไปว่าไอ้เรื่องราวทั้งผองที่เกิดขึ้น The Grabber หรือจอมผลักเนี่ย มันทำเพราะเหตุใดกันนะ จุดหมายเป็นยังไง เพื่ออะไร รวมทั้งการฆ่าเด็กแนวทางฆ่าแต่ละคนเป็นอย่างไร ถ้าหากมีมันบางครั้งก็อาจจะเกื้อหนุนมิติให้นักแสดงกับบทและก็เปิดพื้นที่การแสดงให้ Ethan Hawke ได้มองจิตมากยิ่งกว่านี้แน่ๆ

ทางด้านการแสดงจัดว่า Mason Thames แสดงในบท Finney ก้าวหน้า แม้กระนั้นคิดว่าการพัฒนานักแสดงมันก้าวกระโจนไปสักนิด มองเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือรวดเร็วทันใจมากมาย บทน้องสาว Gwen ที่แสดงโดย Madeleine McGraw ก็มิได้สะดุดตาอะไร บางซีนแอบเล่นใหญ่ไปด้วย ที่น่ากล่าวชมเชยที่สุดก็คือ Ethan Hawke ในบท The Grabber หรือจอมผลักนี่แหละ ที่ไม่คุ้นภาพความเป็นตัวเขาเลย แถมท่าทีการพูดการจายังมองโรคทางจิตไม่ใช่น้อย แต่ว่าโชคร้ายที่หนังมีพื้นที่ให้เขาโชว์ประสิทธิภาพไม่พออย่างที่ได้กล่าวไปย่อหน้าที่แล้ว

หนัง Thor Love and Thunder หรือชื่อไทยว่า ธอร์ ด้วยรักรวมทั้งอสนี ธอร์ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) จะได้ไปเผชิญภัยในแบบที่ไม่ราวกับเมื่อไหร่ที่เขาเคยพบมาก่อน ภารกิจสำหรับเพื่อการค้นหาความสงบสุขข้างใน แม้กระนั้นการเกษียณอายุของเขาถูกก่อกวนโดยมือสังหารผ่านจักรวาลนามว่า กอร์ นักเฉือนเทพเทวดา (คริสเตียน เบล) ผู้เสาะหาการสูญพันธ์ของทวยเทพเทวดาทั้งหมดทั้งสิ้น เพื่อต่อสู้กับภัยรุกรามนี้ ธอร์คลำหาความช่วยเหลือเกื้อกูลจาก ราชาวัลคีปรี่ (เทซซ่า ทอมป์สัน), คอร์ก (ไทก้า ไวตีตำหนิ) รวมทั้งคนรักเก่าของเขา เจน ฟอสเตอร์ (ทุ่งนาตาลี พอร์ตแมน) ผู้ทำให้ธอร์ตกอกตกใจจนกระทั่งตาไม่กะพริบ เมื่อคุณกำลังถือสิทธิ์ค้อนโยเนียร์ของเขา ในฐานะของ The Mighty Thor พวกเขาจำต้องร่วมมือกันเสี่ยงอันตรายผ่านจักรวาลไปเพื่อค้นหาความลับเบื้องหน้าเบื้องหลังความแค้นของนักเฉือนเทพเทวดาคนนี้ เพื่อสกัดเขาเอาไว้ก่อนที่จะมันจะสายจนกระทั่งเหลือเกิน

เป็นภาคที่ 4 แล้วสำหรับหนังคนเดียวของ Thor ที่แสดงโดย Chris Hemsworth ซึ่งนี่จะเกิดเรื่องราวต่อจากใน Avengers: Endgame (2018) ที่ Thor ได้เดินทางไปกับกลุ่ม Guardians of the Galaxy ออกคุ้มครองป้องกันจักรวาล ในโอกาสนี้เขาจำเป็นต้องเริ่มเดินทางอีกรอบ เมื่อจำต้องมาเจอหน้ากับ Gorr คนที่ได้ฉายานามว่า the God Butcher (ผู้ฆ่าทวยเทพเทวดา) รวมทั้งการได้พบเห็นกับรักอย่าง Jane Foster อีกที แม้กระนั้นในโอกาสนี้พวกเราจะได้มองเห็นคุณในฐานะ Mighty Thor

บอกตรงๆว่าจากแบบอย่างทำให้พวกเราตื่นเต้นที่จะมองมากมาย อีกทั้งการได้มองเห็น Natalie Portman กลับมาเล่นบท Jane Foster อีกรอบแล้วก็แถมยังมาเป็น Mighty Thor อีก รวมทั้งการได้มองเห็น Christian Bale ในบทคนร้ายโคตรร้ายอย่าง Gorr ด้วย รวมกับความวิกลจริตบอของผู้กำกับอย่าง

Taika Waititi ที่ได้ทำ Thor: Ragnarok (2017) ออกมาได้โบ๊ะบ๊ะรวมทั้งจังหวะดีมากมายหวังว่าในภาคนี้จะจัดเต็มกว่าเก่า แต่ว่าพอใช้มองจริงกับน่าผิดหวังอย่างโชคร้าย

ลำดับแรกเลยเป็นความมุ่งมาดพวกเราเองล่ะ จะต้องบอกก่อนว่าจริงๆ

พวกเรามิได้ถูกใจภาค Ragnarok มากมายขนาดนั้น เนื่องจากมันค่อนจะหลุดธีมจาก Thor สองภาคแรกพอเหมาะพอควร แต่ว่าจังหวะการเล่า จังหวะมุกมันดี ถึงแม้ว่ามันจะมากมายไปเสียหน่อยก็ตาม ฉากแอ็คชันก็ดีแล้วสุด มีจังหวะเฮให้ได้สนุกสนานได้ตื่นเต้น มันเพียงพอทำให้พวกเราได้มีความเห็นว่าผู้กำกับอย่าง Taika Waititi เขามีแนวทางสำหรับในการทำหนังอย่างไร แล้วก็พอเพียงมาภาคนี้พวกเราก็เลยกะปลดปล่อยหน้าจอย เข้าไปเสพความฮา ความวิกลจริตความบวมของผู้กำกับที่จะใส่มาในเรื่องราว

ทั้งยังการออกมาบอกว่าภาคนี้จะโคตรปั่นบ้าๆบอๆกว่าก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาก็ยิ่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความหวัง แต่ว่าผลมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นน่ะสิ เรื่องความฮาก็มีหยอดมาเป็นพักๆแม้กระนั้นจะให้เปรียบเทียบกัน ก็จำเป็นต้องกล่าวว่าภาค Ragnarok ฮากว่ากันมากมาย จังหวะมุกดีมากยิ่งกว่ากันเยอะแยะเลย

ภาคนี้มันก็ยังฮา แม้กระนั้นเป็นพักๆแล้วก็จังหวะมิได้ดีเท่า หลายมุกก็ฝืดเสียด้วยซ้ำ ฮาสุดขอชูความดีให้ไอ้แพะอวกาศสองตัวแค่นั้นเลย รวมทั้งเนื่องจากว่าหนังมันมิได้มามู้ดซีเรียสขนาดนั้น มันก็เลยทำให้ฉากต่างๆที่จำต้องใช้อารมณ์ร่วมมันทำเป็นไม่ถึงเลย มันลงดราม่ามิได้เลย ซึ้งก็มิได้ ยิ่งฉากด้านหลังๆของเรื่องทำเป็นไม่ถึงไม่อินจริงๆไม่ว่าจะเรื่องราวระหว่าง Thor กับ Jane หรือเรื่องของ Gorr ก็ตาม ฉากแอ็คชันในภาคนี้ก็ยังสู้ไม่ได้ ภาค Ragnarok พอดีกว่ามากมาย

เอาจริงเอาจังๆมันมีวัตถุดิบหลายแบบที่ทำให้มันออกมาแปลกประหลาดแล้วก็สนุกสนานได้มากกว่านี้อีกเยอะแยะเลยอะ มันมองไม่ถูกที่ผิดทาง กั๊กๆไม่กล้าเล่น เพลเซฟอีกต่างหาก ตัวบทเลยแบนมากมาย เรื่องราวมันก็เลยกลายเป็นเบาหวิวไปเลย มิได้หวือหวา หลายเรื่องราวมาไวไปไวมากมาย ถึงหนังจะพากเพียรแออัดยัดเยียดพลังความรักเข้ามาอย่างมากใหญ่ให้ส่งผลต่อเรื่อง แม้กระนั้นมันค่อยอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็นราวกับส่วนประกอบที่น่าเบื่อหน่ายของหนังไปเลย เส้นเรื่องตรงแหน่ว เล่าแบบเบสิค ทุกๆอย่างมองง่ายสุดๆไปหมดเลย

ฉากแอ็คชันในประเด็นนี้ก็จัดว่าเฉยๆมากมาย เนื่องจากว่านักแสดง Thor มันจัดหนักจัดเต็มความโก้เก๋ไปแล้วทั้งยังใน Ragnarok หรือ Endgame ภาคนี้มันก็เลยมิได้มีอะไรสะดุดตา มิได้รู้สึกตลึงหรือว้าวกับการออกแอ็คชันใดๆก็ตามของผู้แสดงนี้เลย

ถึงแม้ว่าจะ โก้จริงๆรวมทั้งบอกตรงๆว่าแย่งความเด่นความโก้จากตัว Thor ไปหมดเลย ส่วนฉากแอ็คชันอื่นๆจัดว่าเฉยๆมากมาย บ้านผลบอล

ทางด้านนักแสดงอย่างที่กล่าวไปย่อหน้าที่แล้ว พวกเรามิได้มีความรู้สึกว่า Thor จะต่างจากการปรากฏตัวภาคที่ผ่านๆมามากแค่ไหน ยังคงเป็น Thor ที่รู้จักดี ด้อยพัฒนาการทางนักแสดงเท่าใดเลย

ถึงแม้ว่า Jane Foster ในร่างของ Mighty Thor จะหรูขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าการเขียนเส้นเรื่องให้ผู้แสดงนี้กลับมาเผยตัวเพิ่มเติมเรื่องราวมาพบกับ Thor พวกเราไม่ค่อยถูกใจมากแค่ไหน มันมองรวบรัดตัดตอนง่ายอย่างยิ่งไปเสียหมด ส่วน Valkyrie ก็ยังคงความโก้ แต่ว่าโชคร้ายสุดๆที่คุณเสมือนแปลงเป็นตัวประกอบไปเลย โดนลดจุดสำคัญลงไปอย่างชัดเจน

ส่วนทางด้านตัวร้ายอย่าง Gorr จะต้องขอดูเลยว่า Christian Bale เล่นได้มองร้าย น่าสะพรึงกลัวจริงๆแต่ว่าบทไม่ส่งเลย มิได้เอื้อความโหดร้ายให้ผู้แสดงนี้เลย ถ้าหากมีฉากการฆ่าเทวดาแสดงพลังของนักแสดงนี้มากยิ่งกว่านี้ก็น่าจะดียิ่งกว่านี้มากมายๆและก็จัดว่าโชคร้ายอีกเช่นเดียวกันที่นักแสดงนี้เปลี่ยนเป็นเพียงแค่ตัวร้ายในระดับกลางที่มิได้รู้สึกตื่นเต้นในตอนต่อสู้กับ Thor ในฉากด้านหลังๆเลย เนื่องจากว่ามิได้มีความคิดว่าผู้แสดงนี้จะชนะได้อย่างไรแบบนั้น