ดูหนัง birdman พากย์ไทย
ดูหนัง birdman พากย์ไทย จากเวที Producers Guild Awards จนกระทั่ง Directors Guild Awards และก็ล่าสุดบนเวทีออสการ์ Birdman หรือในชื่อเต็มว่า Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) กล่าวได้ว่าเฉิดฉันกว่าหนังเรื่องไหนในรายชื่อผู้เข้าร่วมชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของปีนี้ ที่หากแม้ทีแรกๆจะถูกกระแส Boyhood หนังมหากาพย์ที่ถ่ายทำช้านานถึง 12 ปีของ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ กลบไปบ้าง แม้กระนั้นก็กลับมาเปล่งรัศมีได้ท้ายที่สุดถ้าหากถามว่าเพราะเหตุใด Birdman ถึงเด่น คำตอบคงมีเป็นสิบข้อ แต่ว่าแจ่มกระจ่างเหลือเกินว่าเหตุผลหลักอาจจะไม่พ้นทัศนคติแบบกล้าได้กล้าเสียของ อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู ผู้กำกับชาวเม็กซิโกวัย 51 ปีที่หนังยาว 4 เรื่องของเขาก่อนจะมาถึงหัวข้อนี้ ตั้งแต่ Amores Perros, 21 Grams, Babel และ Biutiful ทุกเรื่องมีคาแรคเตอร์คล้ายกันหมด นั่นเป็นหนังดราม่าหลากชีวิตหนักๆที่องค์ประกอบหลักคือความบัดซบของชีวิตและก็ความตาย เอาง่ายๆคือทุกเรื่องจะต้องมีคนเสียชีวิต หรือดูแล้วอยากตาย เว้นเสียแต่เรื่องล่าสุดนี้ที่เขาโละกระบวนการทำหนังรวมทั้งแนวทางการเล่าใหม่ทั้งหมดทั้งปวง ทำให้ Birdman แปลงเป็นหนังที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ ท้าทั้งคนทำและผู้ชม
รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ส่งออกมาทางจอภาพยนตร์ ทั้งพลังงานสำหรับเพื่อการกำกับที่ล้นเหลือ การถ่ายภาพที่ฉลาดเฉลียว บทภาพยนตร์ฝีมือกลุ่มเดิมจาก Biutiful ที่เข้มข้น เด็ดขาด เฉียบคม รวมทั้งบันเทิงใจเอามากๆ(อินาร์ริตู, นิโคลัส จิอาโคโบเน, อเล็กซานเดอร์ ดิเนลาริส และ อาร์แมนโด โบ ควรค่าแก่รางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง) องค์ประกอบศิลปที่น่าละลานตา แล้วก็การแสดงขั้นเทวดาแบบยกกลุ่ม กล่าวได้ว่าเทหมดหน้าตัก เป็นเรื่องแรกที่อินาร์ริตูเปลี่ยนวิธีทำหนังจากคอนเทนต์นำฟอร์มเป็นฟอร์มนำคอนเทนต์ ซึ่งไม่ได้แปลว่าหนังเอาแต่โชว์เคล็ดวิธีอะไร Birdman
ยังคงเป็นหนังที่มีตัวละครชีวิตพังทลายมาปะทะสังสรรค์กันเหมือนเดิม แต่ด้วยน้ำเสียงใหม่ จัดว่าอินาร์ริตูกล้าหาญมากที่ตกลงใจเดินออกไปสู่พื้นที่ใหม่ รวมทั้งเลือกที่จะไม่จมอยู่ที่เดิม
Birdman เล่าเรื่องของ ริกเกน ธอมสัน (ไมเคิล คีตัน)
ผู้แสดงเจ้าของบทซุปเปอร์ฮีโร่สามภาคอันโด่งดังอย่าง “เบิร์ดแมน” ที่ตกอับและไม่เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลังอีกต่อไป (ล้อกับข้อเท็จจริงที่คีตันเคยรับบทบาทกางทแมนในหนังเวอร์ชั่น ทิม เบอร์ตัน ปี 1990) ริกเกนกำลังกำกับแล้วก็นำแสดงในละครเวทีบรอดเวย์ที่ดัดแปลงแก้ไขมาจากเรื่องสั้นของ เรย์มอนด์ คาร์เวอร์ เรื่อง What We Talk About When We Talk About Love โดยมีผู้ร่วมทีมอย่าง เจค (แซค กาลิเฟียนาคิส)
โปรดิวเซอร์สุดทุ่มเท, เลสลี่ (ท้องนาโอมิ วัตส์) ผู้แสดงสาวที่กำลังทำความฝันสำหรับเพื่อการเล่นละครบรอดเวย์ให้เป็นจริง, ลอร่า (แอนเดรีย ไรส์เบอโรห์) นักแสดงสาวอีกคนที่เป็นแฟนคนปัจจุบันนี้ของริกเกน, ผัวของเลสลี่ที่ชื่อ ไมค์ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) ดาราหนุ่มอีโก้เก๋จัดและเจ้าปัญหาที่มีมุมมองต่อการแสดงในแบบแปลกๆไม่เหมือนใครกระทั่งสร้างความไม่สงบเชื้อเชิญปวดตับปวดไตไปอีกทั้งโรงละคร แล้วก็ แซม (แอ็มม่า สโตน) ดูหนัง birdman สาวบลอนด์บุตรสาววัยรุ่นของริกเกนที่พึ่งจะออกมาจากสถานบำบัดสารเสพติดรวมทั้งโดนลากมาเป็นผู้ช่วยในโปรดักชั่น เรื่องวินาศสันตะโรในหนังเกิดขึ้นในตอนระยะเวลาสามวันก่อนละครจะเปิดแสดงจริง ทั้งยังลอร่าที่อยู่ๆก็บอกริกเกนว่าตนเองท้อง
เจคที่จำต้องรอวิ่งยุ่งแก้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างให้ริกเกน หนึ่งในผู้แสดงเกิดอุบัติเหตุทำให้ต้องหาคนมาแทน ไมค์ที่พากเพียรจะปล้ำเลสลี่ในฉากเพื่อความสมจริงสมจัง การแสดงรอบพรีวิวที่เปรอะหมดรูป ประตูเจ้าปัญหาที่ทำให้ริกเกนจะต้องอยู่ในสภาพสวมกางเกงในสีขาวตัวเดียวกึ่งกลางไทม์สแควร์ และก็เหตุการณ์สุดป่วงอื่นๆสารพันจะนำเสนอแต่ที่มากยิ่งที่สุดคือตัวริกเกนเองที่ซึ่งพูดได้ว่ากำลังประสบวิกฤติวัยกลางคนอย่างเต็มขั้น หนังเปิดฉากแรกมาด้วยภาพริกเกนในกางเกงชั้นในสีขาวนั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมด้วยเสียงวอยซ์โอเวอร์ของ “เบิร์ดแมน”
ที่มัวแต่พูดกรอกหูเขาว่า “แกน่ะชีวิตพัง” ริกเกนถูกเสียงดังกล่าว -ซึ่งในทางหนึ่งคืออัลเตอร์อีโก้เก๋ของเขา- ดูดเข้าไปในวังวนที่ความสับสน ทำให้เขาติดกับดักที่เขาทำขึ้นเองริกเกนเป็นศิลปินที่จมไม่ลง กระทำตนไม่ถูกกับการที่เคยเป็นคนสำคัญแม้กระนั้นวันหนึ่งแปลงเป็นคนเดินดิน เขาอุตสาหะสร้างค่าของตนขึ้นมาใหม่ด้วยละครหัวข้อนี้ แม้กระนั้นก็ถูกคนรอบกายเมินหน้าหนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแซมลูกสาวของเขาที่เป็นเสมือนผู้สังเกตการณ์ของหนังที่พ่นคำปาฐกฐาเตือนสติชนหน้าพ่อจนถึงเกือบจะช็อค บทภาพยนตร์หัวข้อนี้เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวทำให้เรื่องของริกเกนแปลงเป็นละครซ้อนละครซ้อนหนัง รวมทั้งผู้แสดงริกเกนเองก็แสดงให้เห็นภาพว่า มีคนเปลือยๆซ้อนอยู่ในริกเกน ซ้อนอยู่ในเบิร์ดแมน ซ้อนกางทแมน และซ้อนตัวคีตันเองอีกที เอาเข้าจริงแล้วนี่เป็นหนังซึ่งสามารถเทียบเคียงกับชีวิตคนเราทั่วไปได้ไม่ยากแม้กระนั้นอินาร์ริตูเลือกตัวละครที่เป็นศิลปินเนื่องจากเข้าใจง่ายแล้วก็เห็นภาพชัดสุด (หากยังเป็นอินาร์ริตูคนเดิมอาจไม่ได้คิดต้องการเข้าหามวลชนขนาดนี้)
การที่คนมีชื่อเสียงอย่างริกเกนจมไม่ลง ก็บางทีอาจจะไม่มีความต่างจากคนธรรมดาอย่างพวกเราๆที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
(หรือผลงาน หรือรูปร่างหน้าตาของตนเอง) เป็นอาภรณ์ แล้วเอามันมาใช้เป็นหลักสำหรับการดำรงชีพจนถึงกลายเป็นว่าถ้าเกิดวันหนึ่งงานที่ทำสลายหรือผิดแผกไปจากความตั้งอกตั้งใจเดิม ตัวตนของพวกเราคนนั้นบางทีก็อาจจะแตกสลายลงไปด้วย พวกเราเสพติดเปลือกของตน เปลือกของความสมบูรณ์แบบ เปลือกของชื่อเสียง การยินยอมรับ การเคารพนับถือ ความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญ ซึ่งพูดกันตรงๆแล้วคนที่เป็นอย่างงี้ก็มีอยู่ทั่วๆไป ในยุคสมัยที่ใครๆก็เป็นคนที่ใครๆก็รู้จักได้ใน 15 วินาที
ต่างกันเพียงว่าพวกเราหลงมัวเมากับมันมากมายหรือน้อยเพียงใด แล้วมันรังควานตนเองแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างเท่าไรในกรณีของริกเกน สิ่งที่เขาเป็นทำร้ายทุกๆสิ่งทุกๆอย่างและทุกคนทั้งในระดับตื้นอย่างเรื่องการงาน แล้วก็ในระดับที่ลึกซึ้งกว่าอย่างเรื่องความเกี่ยวข้องที่หนังซ่อนปัญหาไว้ภายใต้ความเฮฮาอย่างร้ายกาจยิ่ง ราวหนังเรื่องก่อนหน้าของอินาร์ริตูที่นอกจากจะพูดเรื่องความตายกันแบบชัดแจ้งแล้วยังมีการบอกเรื่องความว้าเหว่ด้วย ความข้องเกี่ยวของริกเกนรวมทั้งคนที่อยู่รอบข้างโดยเฉพาะ ซิลเวีย (เอมี่ ไรอัน) ภรรยาเก่าของเขา รวมทั้งแซม (ฉากอารมณ์ระหว่างแซมกับริกเกนในช่วงท้ายของหนังซึ้งจับจิตจับใจทีเดียว)
วางอยู่บนฐานรากของการให้และการขอให้ช่วยเหลือที่จะได้รับ เป็นสามเหลี่ยมที่มีทั้งมุมของความรัก ความปราถนา และความอ้างว้าง เชิญชวนให้นึกถึงนักแสดงบรรพชิตใน 21 Grams, สาวญี่ปุ่นหูหนวกใน Babel, ภรรยาเก่าของดารานำชายใน Biutiful, เลสลี่ที่อยากที่จะให้ตนเป็นที่ยอมรับในแวดวงละครบรอดเวย์ และก็ผู้แสดงที่ริกเกนแสดง ที่ชอบเรียกร้องหาความรักความเข้าใจจากคนใกล้ตัวมากจนเกินไปกระทั่งตัวเองจำต้องแตกสลาย แต่จะเรียกร้องให้พวกเขาสร้างความรักขึ้นมาเองก็น่าจะเจ็บปวดเกินความจำเป็น เนื่องจากอย่าลืมว่าเวลาที่บางคนเกิดขึ้นมาเป็นผู้บริจาค บางคนนั้นแม้กระทั่งบากบั่นถึงที่สุดแล้วกลับกลายได้แค่ผู้รับ
คนที่เป็นแบบงี้มีอยู่ทั่วๆไป ในยุคสมัยที่ใครๆก็ดังได้ใน 15 วินาที
ไม่เหมือนกันเพียงว่าเราหลงเมามัวกับมันมากมายหรือน้อยแค่ไหนแล้วมันทำร้ายตนเองแล้วก็คนรอบข้างแค่ไหน -เว้นแต่ความหนักของบทในฝั่งดราม่าแล้ว ฝั่งขบขันเสียดสีก็ไม่น้อยหน้า เพราะจัดเต็มกันทีเดียวกับบทสำหรับพูดจิกกัดสังคมฮอลลีวู้ดรวมทั้งบรอดเวย์ ในหนังมีการเอ่ยถึงชื่อดาราโด่งดังมากไม่น้อยเลยทีเดียวซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ชะงัดนัก ทั้งยัง จอร์จ คลูนีย์, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, เจเรมี เรนเนอร์ และก็จนกระทั่ง จัสติน บีเบอร์! รวมถึงยังมีการพูดถึงโรงแสดงละครอยู่เนืองๆอีกทั้งโรงละคร St. James ที่ทีมของริกเกนกำลังกระทำการแสดงอยู่ รวมทั้งย่านโรงละครในนิวยอร์คโดยรวม (การที่หนังถ่ายทำในสถานที่จริงก็เป็นข้อสำคัญที่ทำให้การจิกกัดครั้งนี้สนุกขึ้น) และที่สำคัญคือบทของ ลินด์เซย์ ดันแคน นักแสดงรุ่นเดอะที่มาในบทนักวิพากษ์วิจารณ์ละครสายแข็งในหน้าศิลปะวัฒนธรรมของ The New York Times ที่ขึ้นชื่อว่าชั่วร้ายมากมาย ปากตะไกร แล้วก็มีผลกระทบสุดๆแบบที่ว่า ถ้าเกิดเขียนดุด่าคนไหนกันแน่ลงหน้าวิจารณ์ ละครเรื่องนั้นจะไม่มีทางได้ผุดได้กำเนิด ในทางหนึ่งหนังใช้ตัวละครของดันแคนจิกกัดตัวตนของริกเกนที่ยังสำคัญตนไม่ถูกมีความคิดว่าตนเองสื่อความหมาย แต่ในอีกทางหนึ่งหนังก็ให้ริกเกนจิกกัดวัฒนธรรมการติชมด้วยเหมือนกัน ผ่านบทสนทนาที่ตื่นเต้น สนุก และชักชวนให้ลุ้นว่าใครจะโดนตบคว่ำก่อน เมื่อริกเกนชี้หน้าด่าทอเธอว่า “ขี้เกียจคร้านตัวเป็นขน เพียงแค่ตัดสินตีตรากันด้วยคำง่ายๆคำเดียวและจากนั้นก็จบงาน”
ความเฮฮาเสียดสีของอินาร์ริตูไม่ได้มีแค่ในบทภาพยนตร์
แต่ว่าเกินเลยไปถึงการออกแบบการถ่ายทำที่ถูกวางแผนอย่างมีกลเม็ดเด็ดพรายให้ทุกฉากเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ ด้วยแนวทางลองเทคที่ เอมมานูเอล ลูเบซกี้ ช่างถ่ายรูปดีกรีสองออสการ์ผู้นี้นิยมและแกล้วกล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (ฉากทดลองเทคสุดคุ้มคลั่งทั้งสองฉากใน Children of Men ของ อัลฟองโซ กัวรอง จากฝีมือลูเบซกี้ยังชื่นชอบมิรู้ลืม) ตอนนี้ลูเบซกี้ถ่ายทดลองเทคทั้งเรื่อง ใช้การเขยื้อนกล้องที่ไหลแม้กระนั้นไม่วิงเวียนหนักมากสักเท่าไรนัก แล้วก็ปิดท้ายด้วยช็อตนิ่งๆอันดีงาม 2-3 ช็อตในตอนจบ (เชิญชวนให้นึกถึงผลงานของเขาเวลาทำงานร่วมกับ เทอร์เรนซ์ มาลิค ใน The Tree of Life รวมทั้ง To The Wonder ที่เต็มไปด้วยฉาก Landscape สวยๆ) เชื่อมกันแบบเนียนๆด้วยคัทดำไม่เกิน 1 วินาทีแทรกระหว่างที่ตัวละครเปิดปิดประตู แล้วก็ฉาก Time lapse ฟ้ายามรุ่งสางที่มาคู่กับตึกในมหานครนิวยอร์ค
ซึ่งนอกเหนือจากการที่จะเป็นการเล่นสนุกกับเคล็ดลับด้านภาพแล้ว ยังเป็นการยกให้หนังมีจังหวะจะโคนที่คลุ้มคลั่งขึ้น ราวกับคนวิ่งรอบสนามไม่หยุดเป็นเวลาสองชั่วโมง ทำให้ผู้ที่ดูจบพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อ่อนแรงจังวะ” เนื่องจากว่าหนังไม่มีช่วงพักหายใจเลย ซึ่งเอาเข้าจริงก็สมควรก็ดีแล้วกับเรื่องราวป่วงประสาทของริกเกนที่ตลอดเวลาสามวันในหนัง เขาเองก็มิได้พักผ่อนเลยเช่นเดียวกันพ้นไปจากการสไตล์และเคล็ดวิธีถ่ายภาพที่โดดเด่น หนังเรื่องนี้ยังมีการวางแบบเชิงวิธีที่น่าดึงดูดอีกมากมาย อีกทั้งโทนสีและก็บรรยากาศของหนังทั้งยังเรื่องที่ออกมาในแนวหม่นและเต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งควันจากน้ำแข็งแห้งบนเวที ควันที่เกิดจากบุหรี่ ควันจากเครื่องจักรนอกโรงแสดงละคร
และก็ความกระจายของแดดที่จำต้องกระทบกับละอองฝุ่นละอองในห้องเช่าดาราของริกเกน, งานใหญ่อย่างการจัดแสงและการเติมลูกเล่นของไฟนีออนที่ควบคุมก้าวหน้ายอดเยี่ยม (เกินครึ่งหนึ่งของหนังถ่ายทำแบบ Low key ข้างในห้องมืดๆและก็ซอกตึกช่วงกลางคืน) และก็ดนตรีประกอบซึ่งมีแต่เสียงโซโล่กลองชุดจากผลงานของ อันโตนิโอ ซานเชซ ที่สร้างความตื่นเต้น เปิดเผย แตกต่างกัน ชวนขัน ไม่ธรรมดาสามัญ แล้วก็ช่วยดึงความกวนใจของหนังออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
สุดท้ายแล้วถ้าถามว่า Birdman จะเป็นหนังออสการ์แบบไหน
ระหว่างหนังที่เมื่อพ้นรอบปีไปจะถูกลืมเลือนกับหนังที่จะเป็นที่จดจำ สำหรับนักเขียนเองรู้สึกว่าเป็นอย่างข้างหลัง ด้วยเหตุว่านี่เป็นหนึ่งในหนังของช่วง ด้วยเหตุผลแรกที่ว่า ในยุคนี้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความตลกร้ายในเชื้อสาย เราไม่หลงใหลหนังดราม่าน้ำตาแตกแบบที่ปราศจากความเป็นจริงรองรับอีกต่อไป ในขณะเดียวกันเราสนุกสนานที่ได้เสียดสีรวมทั้งหัวเราะร่วนให้กับความลักลั่นของสังคมเมือง แล้วก็เหตุผลที่สองคือ เพราะเหตุว่านี่เป็นสมัยของคนเหงาหงอย สมัยที่พวกเราปรารถนาถูกเห็น ยุคที่พวกเราไม่อยากเป็นคนเดินดิน Birdman สะท้อนภาพผู้ที่หลงหลงอยู่ในกับของตัวตนบนเวทีละครเหมือนจริงที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมาเอง ยอดวิวบน YouTube อาจเป็นตัวชี้วัดความป๊อปปูลาร์ ปริมาณตั๋วที่ริกเกนขายได้บางทีอาจเป็นตัวชี้วัดว่าเขาเป็นนักแสดงที่น่ากล่าวสรรเสริญไหม จำนวนคอลัมน์ที่เขาได้ปรากฏตัวในสื่ออาจเป็นตัวชี้วัดว่านักเขียนนักวิพากษ์วิจารณ์รู้สึกชื่นชอบเขาขนาดไหน หรือทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจเป็นตัวเลขที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
กลับสู่หน้าหลัก https://thinng.com