ขุน พันธ์3

ขุน พันธ์3

ขุน พันธ์3

ขุน พันธ์3 เรื่องราวในภาคที่ 3 จะสานต่อเนื้อหาว่าด้วยในปีพ.ศ.2493 บ้านเมืองได้รับผลกระทบจากสงคราม ชุมโจรเสือร้ายยังคงชุกชุมไปทั่วทุกหนแห่ง ขุนพันธ์ นายตำรวจมือปราบผู้ยึดมั่นในความถูกต้องจึงถูกเรียกกลับมาปฏิบัติภารกิจล่าตัว 2 เสือร้ายอาคมกล้าที่กำลังฮึกเหิมและท้าทายอำนาจรัฐ โดยที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวได้ นำไปสู่การหวนเหยียบถิ่นเสืออีกครั้งของขุนพันธ์ ท่ามกลางเหล่าเสือร้ายที่หมายเอาชีวิต และพร้อมพิพากษามือปราบคงกระพันด้วยความตาย

การจับตาย 2 เสือชื่อดังอย่าง เสือมเหศวรและเสือดำ ครั้งนี้อาจไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขุนพันธ์ 3 ขุนพันธ์จะสามารถบรรลุภารกิจท้าทายศรัทธา และเผชิญหน้าเหล่าเสือร้ายที่มีทั้งอาคมและ ความคงกระพันได้หรือไม่…หรือถึงเวลาแล้วที่ครั้งนี้ มือปราบหนังเหนียวอย่างขุนพันธ์จะกลายเป็น “ผู้ถูกล่า” เสียเองรีวิวหลังชม ขุนพันธ์ 3 ปิดไตรภาคโลกสีเทาของอาคม เวรกรรม การเมือง และประวัติศาสตร์

เป็นหนังที่พอดูจบแล้วสามารถตะโกนออกมาได้เลยว่า “โคตรสนุก” ทุกอย่างที่ พี่โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ และเหล่านักแสดงโปรโมททุกช่องทางนั้นไม่เกินจริงเลย เพราะแค่เปิดเรื่องมาก็ปล่อยจุดเดือดกันแบบที่ไต่ระดับความดุเดือดขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นภาคที่ใส่เต็มความแอ็คชันแบบไม่ให้เหล่าแฟนได้หยุดพักกันเลย ซีนแอ็คชันเหมือนผู้กำกับมันมือมีอะไรที่ยังไม่ได้โชว์ในสองภาคแรก หรืออยากปล่อยก็เอามาใส่เต็มในภาคนี้ทั้งหมด ได้เห็นถึงไฟของทีมงานและนักแสดงในภาคนี้มากๆ ที่เนรมิตรสิ่งที่คนชอบดูหนังแอ็คชันมัน(ส์)ๆ สักเรื่องต้องการ

ในส่วนของเนื้อหาความเข้มข้นยังคงทำออกมาได้ดี และเนื้อหาจะดุเดือดกว่าสองภาคแรก ขุนพันธ์ 3 ทั้งพาร์ทชีวิตของท่านขุนที่โดนโจมตีเรื่องการวิสามัญเหล่าจอมโจรจนหลายคนเกิดคำถามว่า ท่านขุนทำเกินกว่าเหตุในการจับกุมผู้ร้ายหรือไม่ จนต้องออกจากราชการและกลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาอย่าง ครูนุ่น ที่กำลังท้องใกล้คลอดก่อนจะถูกเรียกกลับมาทำภารกิจสุดท้ายในการล่าสองเสือที่เหลืออยู่อย่าง เสือดำและเสือมเหศวร ในขณะที่อาคมและความคงกระพันของท่านขุนก็เริ่มเสื่อมลง เป็นภาคที่เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ของท่านขุนมากที่สุดกับความต้องการจะรอดชีวิตเพื่อกลับไปหาเมียและลูก เราได้เห็นมุมที่ขุนพันธ์เกิดความกลัวแบบที่เราไม่ได้พบเห็นในภาคก่อนๆ ที่แม้จะเก่งกาจมาตลอดแต่เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์คนนึง

ในพาร์ทของสองเสือในภาคนี้อย่าง เสือมเหศวรกับเสือดำขุนพันธ์ 3” บทสรุปแห่งไตรภาค...ที่ “ความตาย” พร้อมพิพากษา 2 มีนาคม 2566  พร้อมจับตาย ในโรงภาพยนตร์ - StarEnews.com

ที่ได้ มาริโอ้และโตโน่มารับบทบาทนี้ ถือว่าสอบผ่านอย่างไร้ข้อกังขา ในส่วนของ เสือมเหศวร ที่มาริโอ้แสดง ถือว่าเป็นบทบาทที่ความแตกต่างจากผลงานเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยได้เห็นในงานแสดงของเขาค่อนข้างเยอะ แม้จะมีความคอมเมดี้ ให้เห็นอยู่บ้างแต่ในพาร์ทบทบู๊ เรื่องนี้เหมือนจะส่งให้มาริโอ้ดูเท่ในมาดของเสือมเหศวรมากๆ จากปกติที่จะได้เห็นแต่ความตลกของเขาเท่านั้น เรียกว่าลบภาพความน่ารักของมาริโอ้แต่มาโชว์มาดเข้มๆ สไตล์สุภาพบุรุษจอมโจร

แต่ที่น่าจะเรียกเสียงฮือฮาแบบที่ลบข้อกังขาในด้านภาพลักษณ์ได้เป็นอย่างดี คงหนีไม่พ้น โตโน่ ภาคิน ที่รับบทเสือดำ นี้คือบทบาทที่เหมาะสมกับเขาจริงๆ การปรากฏตัวของเสือดำในแต่ละซีนนั้น สามารถสาดความบ้าคลั่ง ความเดือดดาลกับความแค้นสุ่มอกที่เกิดจากปมในอดีตที่มีต่อขุนพันธ์

การแสดงของโตโน่เข้าถึงบทบาทได้แบบสุดขั้ว ถ้าเราเคยชอบพี่น้อยในบท อัลฮาวียะรู ในภาคแรก เสือดำ ที่โตโน่แสดงนั้น เหมือนมารับไม้ต่อส่งท้ายแบบที่ไม่ทำให้ผิดหวัง ไฮไลท์ที่เราเคยเห็นการปะทะอารมณ์ในภาคแรกของท่านขุนและอัลฮาวี ในภาคนี้การดวลตัวต่อตัวของเสือดำและท่านก็ทำได้ในระดับเดียวกัน

ในส่วนของ ร้อยเอกทัตเทพ รับบทโดย เอม ภูมิภัทร และหมอสาวิตรี รับบทโดย ฟ้า ษริกา ถือว่าเป็นอีกสองตัวละครที่มาเติมเต็มความสมบูรณ์และส่งผลต่อช่วงท้ายเรื่องที่เกิดการหักมุมในช่วงองค์ท้ายของภาคนี้

ส่วนด้านเซอร์วิสแฟนๆ ของขุนพันธ์ เตรียมเฮกันเลย บอกได้แค่ว่าอย่าหลุดไปเจอสปอยล์กันเชียว แม้จะไม่ได้เวอร์วังแต่ก็ทำให้เสียอรรถรสได้อยู่
ด้านงาน VFX ถ้าเทียบกับงบประมานของเรื่องนี้ ก็ต้องขอปรบมือในกับความกล้าคิด กล้าทำของทีมผู้สร้างอยากให้งานนี้ออกมาดีที่สุดเท่าที่เรื่องนี้จะให้ได้จริงๆ

อีกส่วนที่ขาดไม่ได้ของขุนพันธ์คือพาร์ทการเมือง ภาคนี้บอกได้คำเดียวว่า ที่สุด เหมือนเอาเหตุการณ์ในปัจจุบันไปใส่ไว้ในเรื่องไม่ต้องแฝง เขาขอนำเสนอแบบตรงๆ แบบที่ตบหน้าวงการสีกากีและนักการเมืองที่มีมาทุกยุคสมัย แม้ตัวเอกจะเป็นนายตำรวจข้าราชการ แต่เขาไม่ได้เชิดชูแต่ด้านดีเท่านั้นแต่ขอนำเสนอส่วนของความโสมมในวงการนี้

แม้พูดมาทั้งหมดจะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่หนังก็ยังมีความขาดๆ เกินๆ ตะกุกตะกักในบางช่วง แต่ด้วยระยะเวลาความยาวของหนังที่มีความยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง บางช่วงอาจจะมีจังหวะเอื่อยๆ เพราะเขาเล่นปล่อยของปล่อยพลังในฉากแอ็คชันต่อเนื่อง พอถึงจังหวะที่เดินเนื้อหามันเรื่อยดรอปอารมณ์ความเดือดที่มีไปด้วย

ขุนพันธ์3'ระเบิดความมันส์ 'อนันดา'สู้ศึก2เสือ'มาริโอ้-โตโน่'“สหมงคลฟิล์ม  อินเตอร์เนชั่นแนล”

สุดท้ายถ้าให้พูดถึง ก็คงพูดได้เต็มปากว่านี้แหละหนังไทยที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์มากๆ เพราะตอบโจทย์ด้านความสนุกไม่แพ้หนังฮอลลีวูู้ด อาจจะไม่ถึงขั้นดีเยี่ยม แต่เป็นผลงานที่ทีมงานนักแสดงผู้สร้างไม่ดูถูกคนดูและเราได้เห็นถึงความตั้งใจในการส่งท้ายแฟรนไชส์นี้ แบบที่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีข้างหน้าเราจะได้เห็นงานแบบนี้ออกมาให้ชมอีกหรือเปล่า อยากให้ลองเปิดใจไปดูหนังไทยว่าวงการหนังบ้านเราถ้าตั้งใจทำก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน

ในที่สุด ‘ขุนพันธ์’ หนังแอ็กชันสไตล์ไทย ๆ ของ คุณโขม ก้องเกียรติ โขมศิริ ก็เวียนบรรจบมาครบไตรภาคจนได้ แต่แม้ว่ารีวิวที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้จะเขียนโดยคนที่มองเห็นจุดบอดของหนังเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมก็ยังขอให้ทุกท่านได้มีโอกาสไปสัมผัส ‘ขุนพันธ์ 3’ ในโรงภาพยนตร์สักครั้งนะครับ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องอยากให้สนับสนุนหนังไทยอะไรหรอกครับ แต่อยากให้ทุกท่านได้มีโอกาสจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังเรื่องหนึ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ท่านได้อย่างเต็มที่จริง ๆ

ในหนังภาคนี้เราจะได้เห็น ขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ออกจากราชการไปใช้ชีวิตครอบครัวที่นครศรีธรรมราช แต่เมื่อถูกเรียกตัวให้มาช่วย ร้อยตรีทัตเทพ นายทหารชั้นสูงในการอารักขานักการเมือง ก็ทำให้ขุนพันธ์กลับมาปะทะสงครามอาคมกับ 3 เสือแห่งยุคอย่างเสือมเหศวรกับเสือดำ แต่ยิ่งสงครามยืดเยื้อขุนพันธ์ก็เริ่มรู้สึกได้ว่าของขลังในตัวกำลังเสื่อมลง เขาจำต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดกลับไปหาภรรยาและลูกที่ใกล้ลืมตาดูโลกให้ได้

การมีหนังอย่าง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในปี 2023

ที่ต้องปรบมือให้ดัง ๆ คือ ดนตรีประกอบของคุณเทิดศักดิ์ จันทร์ปาน ที่เปรียบได้กับ John Williams ของไตรภาคขุนพันธ์ การสร้าง Theme ของขุนพันธ์ที่ติดหูมีส่วนสำคัญในการสร้างตัวละคนให้น่าจดจดและเอาใจช่วย แต่แทนที่คุณเทิดศักดิ์จะทำ Original Score ออกมาขาย ซึ่งผมเชื่อว่ามีกลุ่มลูกค้าไม่น้อย ท่านกลับปล่อยให้ฟังฟรี ๆ บน YouTube สุดยอดไปเลยครับ

สำหรับเนื้อเรื่องของขุนพันธ์ 3 กล่าวแบบตรงไปตรงมา คือ ดำเนินตามสูตรสำเร็จของทั้งสองภาคที่ผ่านมาทุกประการ คือ ขุนพันธ์ได้รับภารกิจไปปราบเสือร้าย โดนหักหลังจากคนที่ไว้ใจ ต้องเอาตัวรอดจากความตายอย่างหวุดหวิด สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตศัตรูจนมีชัยเหนือตัวแทนของรัฐที่บิดเบี้ยวในที่สุด

แต่กระนั้นเลย หากสูตรสำเร็จทำได้สนุก แล้วไฉนจะต้องเปลี่ยน ไม่ต่างจากสูตรสำเร็จในหนัง James Bond 007 ที่ดำเนินเรื่องตามสูตรแบบเดียวกันทุกภาค เปลี่ยนแค่นักแสดง บริบท สาวบอนด์ และภารกิจเท่านั้น แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ส่วนบางฉากที่ดูคล้ายจะลอกหรือคารวะหนังบางเรื่อง เช่น ตัวละครจากชุมเสือดำที่เหมือนตัวละครจาก Live and Let Die ก็ต้องบอกว่าในวงการศิลปะ Originality ไม่เคยมีจริง มีการหยิบยืมไอเดียไปใช้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้แล้วโดนหรือแป๊กเท่านั้นเอง ซึ่งขุนพันธ์ 3 ทำได้ค่อนข้างดี และสนุกจนอยากดูซ้ำอีกรอบ

สำหรับภาพยนตร์ไทยอย่างยิ่งเลยล่ะครับ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนเราจะเห็นความตั้งใจและความทะเยอทะยานในการพาหนังไทยเรื่องหนึ่งก้าวข้ามคำครหาและคำสบประมาท และหากพูดไม่เกินจริงการทิ้งทวนเรื่องราวของขุนพันธ์ในภาคนี้ คงเหมือนการเขียนพินัยกรรมของก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เรียกได้ว่าหากชีวิตนี้ไม่ได้ทำหนังอีกแล้ว หนังเรื่องนี้ก็คือคำสั่งเสียสุดท้ายต่อคนดูว่าคนทำหนังไทยยังอยากทำหนังให้คนไทยดูอยู่นะครับ

ตั้งแต่การจัดเต็มใส่ฉากแอ็กชัน วินาศสันตะโรแบบไม่กลัวงบประมาณบานปลาย การใส่อสุรกายจัดเต็มตั้งแต่จระเข้ยันสัมภเวสีและซอมบี้ ไปจนถึงงานซีจีคาถาอาคมต่าง ๆ ที่แม้จะยังไม่ถึงขนาดเนียบกริ๊บเหมือนหนังฮอลลีวูดแต่ก็ยังอุตส่าห์พัฒนาให้ดีขึ้นในทุกภาคซึ่งก็รวมถึงงานซีจีในหนังภาคนี้ด้วยนะครับ และที่สำคัญคือบทของคุณโขมรู้ดีว่าผู้ชมยุคนี้ต้องการอะไร เลยใส่ตั้งแต่เซอร์ไพร์สในโมเดลเดียวกับหนังมาร์เวล ไปจนถึงการสอดแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองไทยเอามาสอดใส้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปัจจุบัน

ซึ่งจริง ๆ แล้วบทของขุนพันธ์ 3′ กับหลากเหตุผลที่เราควรไปชม (และเชียร์) หนังไทยเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์
มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างนะครับ โดยเฉพาะการดึงเอาเหตุการณ์สังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2492 ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ในยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นแบ็คกราวด์ของหนัง แต่ปัญหาสำคัญคือมันกลับกลายเป็นพื้นหลังที่หลุดลอยไปเรื่อย ๆ เมื่อหนังต้องเอามาซ้อนกับพล็อตสงครามอาคม ยิ่งตัวแปรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งขุนพันธ์ เสือมเหศวรและเสือดำ ต้องมาห้ำหั่นกันแถมแต่ละตัวก็มีเรื่องราวที่สามารถทำหนังได้คนละเรื่องมาโฮะรวมกันจนบรรยากาศการเมืองที่หนังพยายามปูดูเป็นส่วนเกินไปอย่างน่าเสียดาย

อีกส่วนที่คิดว่าขุนพันธ์ภาคนี้ทำความดีที่มีในภาคก่อน ๆ หล่นหายไปคือการปูพื้นตัวร้ายในหนังหรือคู่ต่อกรในหนังให้เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากรัฐบาล แต่ใน กลับปูพื้นตัวละครให้เสือดำมีความแค้นบางอย่างกับขุนพันธ์ ส่วนเสือมเหศวรนี่ดันไปเอาพล็อต คลาร์ก เคนต์ กับซูเปอร์แมนมาสวมแทนจนทุกอย่างดูหลุดโลกไปหมด ที่สำคัญคือการหาทางลงให้ทั้งสองปมก็เข้าขั้นแลนดิงได้ไม่สวยงามเท่าใดนัก

และที่ถือเป็นจุดบอดมากที่สุดในบทภาพยนตร์คือการที่มันอุตส่าห์ดันให้มีตัวละครใหม่อย่าง ร้อยตรีทัตเทพ ที่อุตส่าห์จะปั้น เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ นักแสดงดาวรุ่งที่เริ่มสร้างชื่อทั้งจากซีรีส์ ‘เด็กใหม่ 2’ และหนัง ‘วันสุดท้ายก่อนบายเธอ’ มารับบทตัวละครที่เราได้แต่หวังว่ามันจะไม่จบลงงง ๆ เหมือน ดาบแดงปืนคู่ ที่ไม่ค่อยมีที่มาที่ไปในหนังภาคที่แล้ว

เรียกว่ากำไรคนดูแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับคอหนังไทยและหนังแอ็คชั่น สนุกจริง ไม่ใช่อุปาทานหมู่ ต้องดูในโรง! การเดินทางมาถึงฉากสุดท้ายของไตรภาคศรัทธาและอาคมของผู้กำกับ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ อย่างภาพยนตร์ลำดับล่าสุด ขุนพันธ์ 3 (2023) ที่หลังเข้าฉายไม่กี่วันก็พ่วงมาด้วยดราม่าชวนปวดใจว่าด้วยการโดนลดโรงลดรอบอันเป็นปัญหายืดเยื้อยาวนานของอุตสาหกรรมหนังไทย หลังจากทั้งห่างภาคสองเมื่อปี 2018 ถึง 6 ปี ขุนพันธ์ก็หวนกลับมาใหม่อีกครั้งในฐานะชายผู้หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบที่นครศรีธรรมราช สร้างครอบครัวกับภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกชายคนแรก ก่อนจะพบว่าเขาถูกเรียกกลับเข้าไปรับภารกิจเกี่ยวเนื่องกับรัฐ กองโจรและอาคม ท่ามกลางศรัทธาที่สั่นคลอนทั้งต่อตัวเองและหน้าที่ นับตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2016 หนัง ‘

ขุนพันธ์’ ดัดแปลงจากชีวิตจริงของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ บุตร พันธรักษ์ ก็ใช้การเมืองและความขัดแย้งระหว่างรัฐกับคนชายขอบเป็นธีมใหญ่ที่คลุมฉากหลังทั้งหมด ขุนพันธ์ (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับราชการให้ส่วนกลาง และการปะทะกับ อัลฮาวียะลู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) หัวหน้ากองโจรผู้หวังแบ่งแยกดินแดน และภาคสองซึ่งว่าด้วยภาวะที่ขุนพันธ์สิ้นหวังในราชการไทยทั้งยังโดนหักหลัง ถูกสั่งให้พักราชการจนต้องไปเข้าร่วมกับ เสือใบ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) และ เสือฝ้าย (วันชนะ สวัสดี) ซึ่งเปลี่ยนสถานะให้ขุนพันธ์กลายเป็นโจรเสียเอง

thinng